หินอ่อนเอลกิน ของ ทอมัส บรูซ เอิร์ลที่ 7 แห่งเอลกิน

เอลกินเป็นผู้มีความสนใจเป็นอันมากกับของโบราณ โครงการหนึ่งของเอลกินเมื่อไปเป็นทูตคือการสะสมของโบราณ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะกรีกโบราณด้วยตนเองโดยการวาดภาพ และหล่อโดยเฉพาะที่เอเธนส์เพื่อใช้ในการจำลองสำหรับการศึกษาและสะสมศิลปะในสหราชอาณาจักร ในการดำเนินโครงการนี้เอลกินก็รวบรวมกลุ่มศิลปินและช่างจากอิตาลีติดตัวไปด้วยก่อนที่จะไปถึงคอนสแตนติโนเปิล คณะศิลปินที่เอเธนส์หลังจากประสบอุปสรรคอยู่บ้างในที่สุดก็ได้รับอนุญาตตามพระราชกฤษฎีกาเฟอร์มันให้ทำการสำรวจอะโครโพลิสได้อย่างเสรี และได้รับอนุญาตโดยเฉพาะให้ทำการเขียนภาพร่าง, หล่อ, ขุด และ นำแผ่นจารึกและประติกรรมนูนออกจากอะโครโพลิสได้อย่างเสรี และดูเหมือนว่าการอนุญาตนี้มิได้จำกัดอยูแต่เพียงพาร์เธนอนเอง การเลาะแผ่นประติมากรรมเมโทเป (Metope), แถบประติมากรรมนูน (Frieze) และประติมากรรมบนหน้าจั่วเป็นการกระทำที่มาจากการตัดสินใจโดยไม่มีการไตร่ตรองล่วงหน้าโดยฟิลิป ฮันท์อนุศาสนาจารย์ประจำตัวและเลขานุการชั่วคราวของเอลกินในเอเธนส์ ผู้สร้างความกดดันต่อรัฐบาลท้องถิ่นของเอเธนส์โดยการอ้างคำอนุญาตโดยพระราชกฤษฎีกาเฟอร์มันโดยการตีความหมายอย่างกว้างๆ

ทั้งฟิลิป ฮันท์และเอลกินต่างก็ไม่มีความรู้สึกว่าการกระทำดังว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ทั้งสองต่างก็มีความรู้สึกประหลาดใจในปฏิกิริยาอันไม่ยินดียินร้ายของออตโตมัน (ผู้ที่ขณะนั้นมีอำนาจอยู่ในกรีซ) ต่อสภาวะอันเสื่อมโทรมลงของประติมากรรมต่างๆ ซึ่งเอลกินต่อมาอ้างว่าตนมีความประสงค์ที่จะพิทักษ์ประติมากรรมเหล่านี้ไว้จากการถูกทำลายระหว่างการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในสงครามกู้อิสรภาพกรีก เอลกินอ้างว่าสาเหตของการเคลื่อนย้ายงานประติมากรรมก็เพื่อเป็นการอนุรักษ์ และอันที่จริงแล้วระหว่างความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างตุรกีและกรีซอะโครโพลิสก็ถูกล้อมสองครั้ง ชาวกรีกก็อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนถึงกับยอมที่จะให้ลูกปืนแก่ฝ่ายออตโตมันที่ตั้งมั่นอยู่ผู้ที่พยายามจะหลอมตะกั่วที่ใช้เชื่อมเสาในการทำกระสุนถ้าฝ่ายออตโตมันให้สัญญาได้ว่าจะไม่ทำความเสียหายแก่พาร์เธนอน[2][4]

ระหว่างกระบวนการถอดแผ่นประติมากรรมเอลกินก็พบว่าไม่สามารถที่จะถอดจากอะโครโพลิสได้โดยไม่ตัดออกเป็นชิ้นเล็กๆ ฉะนั้นการถอดแผ่นประติมากรรมของเอลกินจึงสร้างความเสียหายเป็นอันมาก การกระทำดังว่าแม้ในสมัยของเอลกินเองก็เป็นการกระทำที่สร้างความขัดแย้ง เอลกินเสียค่าใช้จ่ายไปเป็นจำนวนมากในการทำการขนส่งชิ้นส่วนต่างๆ กลับไปยังสหราชอาณาจักรที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน[ต้องการอ้างอิง]

การถอดและขนย้ายประติมากรรมของเอลกินได้รับการสนับสนุนจากบางฝ่าย[5] แต่ก็มีผู้คัดค้านกล่าวประณามและกล่าวเปรียบเอลกินว่าเป็นผู้ขโมยทรัพย์สิน[1][6][7][8][9][10] โดยเฉพาะจากลอร์ดไบรอนกวีอังกฤษผู้เขียนติเตียนในโคลง “The Curse of Minerva” (ไทย: คำสาปของมิเนอร์วา)[11] หลังจากการโต้แย้งกันในรัฐสภาที่ตามมาด้วยการประกาศว่าการกระทำของเอลกินไม่เป็นการกระทำที่ผิดแล้ว รัฐบาลบริติชก็ทำการซื้อแผ่นประติมากรรมในปี ค.ศ. 1816 เป็นจำนวนเงิน 35,000 ปอนด์ซึ่งต่ำกว่าค่าใช้จ่ายที่เอลกินต้องเสียไปเป็นจำนวนทั้งสิ้นราว 75,000 ปอนด์ เพื่อนำไปตั้งแสดงที่พิพิธภัณฑ์บริติช[1]ที่ยังคงตั้งแสดงอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ขณะเดียวกันข้อขัดแย้งและปัญหาที่ว่าพิพิธภัณฑ์บริติชควรจะคืนแผ่นหินอ่อนให้แก่เอเธนส์หรือไม่ก็ยังคงดำเนินต่อไป

ใกล้เคียง

ทอมัส เอดิสัน ทอมัส แบ็กกิต ทอมัส โรเบิร์ต มาลธัส ทอมัส พาร์ทีย์ ทอมัส เจฟเฟอร์สัน ทอมัส อไควนัส ทอมัส ดิเลนีย์ ทอมัส บรูซ เอิร์ลที่ 7 แห่งเอลกิน ทอมัส โคล ทอมัสแห่งวูดสตอก ดยุกที่ 1 แห่งกลอสเตอร์